“กว่าจะมาเป็น ‘เอิน’ แอดมินเพจ Hokkaido Diary“
จนได้จัดทริปพาคนไทยเปิดประสบการณ์สัมผัสวิถีชีวิตในชทบทญี่ปุ่นแบบ unseen ในทุกวันนี้
ตัวเราในวัย 24 เริ่มมองอนาคต คิดไปถึงเรื่องแต่งงาน และอยากลองเปลี่ยนเส้นทางชีวิตตัวเองดู เลยตัดสินใจลาออกจากบริษัทญี่ปุ่นที่ทำอยู่ ตอนนั้นมั่นใจว่าถ้าเปลี่ยนมาทำฟรีแลนซ์เต็มตัวคงมีงานให้ทำเยอะน่าดู เพราะในระหว่างที่ทำงานประจำก็มีหยุดไปรับงานพิเศษบ้าง แต่พอได้ลองลาออกมาเต็มตัว มันกลับตรงข้ามกันเลย… รายได้เดือนแรกหลังจากที่ลาออกจากงานประจำคือ 1,200 บาทถ้วนเท่านั้น เริ่มรู้สึกเครียด และคิดบ่อยขึ้นว่าหรือเราควรแต่งงานแทน?
ก่อนที่จะได้มาทำงานที่ฮอกไกโด เราเคยทำงานเป็นล่ามของบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ตอนนั้นอายุ 24 ซึ่งตอนนั้นเริ่มมองอนาคตเป็นรูปธรรมมากขึ้นและมีแพลนว่าจะแต่งงานด้วย(แฟนเราเป็นคนญี่ปุ่น) ก็เลยลาออกจากบริษัทที่ทำอยู่ด้วยเหตุผลนั้น ซึ่งเจ้านายญี่ปุ่นในตอนนั้นไม่เชื่อว่าคนแบบเราจะแต่งงาน เค้าคิดว่าเราอยากลาออกด้วยเรื่องอื่นก็เลยกุเรื่องแต่งงานขึ้นมา แล้วก็ยังท้าให้เราเชิญเค้าไปงานแต่งของเราด้วย
คือตอนนั้นเราก็คิดเรื่องแต่งงานจริงๆ แหละ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นคิดไปว่าจะแต่งที่ไหนเมื่อไร เลยรับจ็อบทำงานเป็นล่ามฟรีแลนซ์รอไปพลางๆ ก่อน สมัยที่ยังไม่ออกจากบริษัทเราก็เคยมีรับจ็อบพิเศษเหมือนกัน เช่น รับเป็นงานล่ามที่มีงานวันเสาร์-อาทิตย์ แล้วช่วงนั้นงานชุมรุมเร้ามาก เลยมั่นใจว่าถ้าเรามาทำฟรีแลนซ์เต็มตัวงานคงจะเยอะมากแน่ๆ แต่มันกลับไม่ใช่เลย…. ลาออกมาเดือนแรกมีรายได้ 1,200 บาทถ้วน และทำงานอยู่วันเดียวตลอดทั้งเดือน! ตอนนั้นเราเริ่มเอาเงินเก็บมาใช้ เริ่มเครียด และเริ่มคิดมากขึ้นว่าเราควรไปแต่งงานแล้วมั้ยแบบนี้?
จากนั้นผ่านประมาณ 2 เดือนต่อมา เราก็ยังคงทำงานพิเศษไปเรื่อยๆ พร้อมกับเริ่มเก็บของออกจากห้องพักที่กรุงเทพเพราะคิดว่ายังไงอีกไม่นานเราก็ต้องย้ายออกอยู่ดี ไม่ด้วยเรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
เราไปเจอประกาศ "รับสมัครผู้ช่วยไกด์" ซึ่งเราก็สนใจวงการท่องเที่ยวด้วยก็เลยรับ แต่ไม่คิดเลยว่างานนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเราไปตลอดกาล…
อยู่มาวันหนึ่งเราไปเจอเข้ากับงานๆ หนึ่ง ที่ประกาศว่า "รับสมัครผู้ช่วยไกด์" รายละเอียดงานคือไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ช่วยไกด์นิดๆ หน่อยๆ ค่าแรงไม่แพง แต่ช่วงนั้นเราว่างพอดี แล้วก็สนใจวงการท่องเที่ยวด้วยก็เลยรับ แต่ไม่คิดเลยว่างานนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเราไปตลอดกาล…
งานผู้ช่วยไกด์นี้เป็นงานที่ไม่ตรงปกและจกตาที่สุดในชีวิต เค้าบอกแค่ช่วยดูแลลูกทัวร์นิดๆ หน่อยๆ ไม่ต้องมีสกิลญี่ปุ่นมากก็ได้ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่! เราและทุกคนที่มาสมัครงานนี้กลายมาเป็น "ล่าม" ของไกด์ คือไกด์พูดได้แต่ภาษาจีน ไทย และอังกฤษ แต่ลูกทัวร์เป็นคนญี่ปุ่น ทำให้เราต้องจับไมค์สลับกับไกด์เพื่อแปลให้ลูกทัวร์ฟัง ไกด์พูดมาเราแปลไป เราติดสอยห้อยตามพี่ไกด์ไปทุกที่ ลูกค้าอยากได้อะไรเราก็แปลให้ เป็นความสนุกที่อยู่บนความทุกข์ของตัวเองตลอด 4 วัน
แต่ในระหว่างที่ทำงานนั้นเราก็ต้องมองหางานต่อไปตามสไตล์ฟรีแลนซ์ ก็ได้ไปเห็นงานอีกงานหนึ่ง จำได้ว่าเค้ารับสมัครล่ามค่าแรง 5,500 บาท/วัน เราอยากได้มาก เพราะเงินนี้จะมาช่วยต่อชีวิตเราไปได้อีกนิด แต่ด้วยความที่งานล่ามไกด์นั้นมันยุ่งมากกก จับมือถือระหว่างทำงานไม่ได้เลย และพักไม่เป็นเวลา เราเลยชวดงานนั้นไป เพราะเค้าไปเลือกอีกคนที่ตอบไลน์เร็วกว่า ตอนนั้นเจ็บใจมากจนถึงกับเสียน้ำตาออกมาจริงๆ เลยโทรไปบอกแม่ว่าจะกลับบ้านที่พะเยาตอนวันเกิด(ประมาณช่วงกลางมกราคม) เพื่อกลับไปพักใจแทนที่อกหักจากงานล่ามวันละ 5,500 บาท
เรากลับมานอนซึมที่พะเยา จิตใจห่อเหี่ยว ในหัวมีแต่คำว่าห้าพันห้า ห้าพันห้า ฟาดงวงฟาดงา
ย้อนไปคิดว่าไม่น่าเริ่มรับงานล่ามไกด์เลยนู่นนี่นั่น แต่จริงๆ แล้วงานล่ามไกด์นี่แหละที่นำโชคมาให้เรา
เพื่อนล่ามที่เราเพิ่งได้รู้จักจากงานล่ามไกด์คนหนึ่งทักไลน์มาบอกเราว่ามีประกาศรับสมัครทำงานในฮอกไกโด ให้ลองไปสัมภาษณ์ดู ซึ่งวันสัมภาษณ์ดันตรงกับวันที่เราพลาดงานล่ามราคา 5,500 พอดี! และที่บังเอิญกว่านั้นคือเค้านัดสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ซึ่งห่างจากพะเยาออกไปแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น!!
ด้วยความจกตาของงานล่ามไกด์เลยทำให้เหล่าล่ามญี่ปุ่นทุกคนเห็นอกเห็นใจกัน เราเลยได้สนิทกับเพื่อนล่ามคนหนึ่งในระหว่างทำงาน เพื่อนคนนี้ชื่อว่า "เมย์" ซึ่งเมย์เองก็เป็นฟรีแลนซ์ที่ตอนนั้นไม่ค่อยมีงานเหมือนกัน เราเลยได้พูดคุยแลกเปลี่ยน หลังจากจบงานไปไม่นาน เมย์ทักไลน์มาบอกเราว่ามีประกาศรับสมัครทำงานในฮอกไกโด ลองไปสัมภาษณ์ดูไหม? และวันสัมภาษณ์คือวันที่ 20 มกราคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันที่มีงานล่าม 5,500 บาทพอดี! และที่บังเอิญกว่านั้นคือเค้านัดสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ซึ่งห่างจากพะเยาออกไปแค่ 3 ชั่วโมง! คือมันบังเอิญมากๆ เพราะถ้าเราได้ทำงานนั้นเราคงไม่ได้มาสัมภาษณ์งานนี้ และถ้าเรายังอยู่กรุงเทพ เราก็คงไม่เดินทางมาสัมภาษณ์ไกลถึงเชียงใหม่ จังหวะมันเหมาะเจาะกันไปหมด!
วันนั้นเราใส่สูทแบบจั๊กแร้เปียกไปสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่(นั่งรถทัวร์จากพะเยาไป 3 ชั่วโมง) สัมภาษณ์เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ทริคการสัมภาษณ์งานของเราก็คือเตรียม Resume ไปให้พร้อม เขียนให้ชัดเจนว่าทำไมเราถึงอยากไปทำงานกับเค้า เรามีข้อดีข้อเสียอะไร ทำไมเราถึงคิดว่าเราเหมาะกับที่นี่ และหาข้อมูลสถานที่ที่เราจะไปทำงานมาก่อนเผื่อเค้าทดสอบความรู้ค่ะ
การสัมภาษณ์ผ่านไปได้อย่างราบรื่น และมันทำให้เราลืมเรื่องล่าม 5,500 ไปสนิทเลย จากนั้นไม่นานสิ้นเดือนมกราคมเราก็รู้ผลแล้วว่าเราได้งานและงานจะเริ่มภายในเดือนเมษายนของปีนั้น! ทีนี้แหละบันเทิงเลย ต้องรีบยกเลิกสัญญาห้องพักที่กรุงเทพ ขนของออกมาให้หมด ไปสอบใบขับขี่เตรียมไว้ และดำเนินการเรื่องทำวีซ่าทำงาน สารภาพเลยว่าตอนนั้นเรายังไม่อยากจะเชื่อ ว่าตัวเองจะได้มาทำงานที่ญี่ปุ่นจริงๆ ในใจก็แอบคิดว่าเค้าหลอกเรามาป่าววะ แต่วีซ่าดันผ่าน! เราเลยเริ่มมีสติว่านี่มันเรื่องจริงแล้วนี่หว่า เราจะได้ไปทำงานในญี่ปุ่นจริงๆ แบบไม่ได้ฝัน!...
ในช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตที่เมืองชิปปุเบ็ตสึ ทำให้เราเห็นเสน่ห์ของเมืองนี้มากขึ้น และอยากให้คนไทยได้สัมผัสกับประสบการณ์เหล่านี้บ้าง จึงเกิดกิจกรรม ‘Happy 5 Days in Chippu’ ขึ้นมา โดยคัดเลือกให้คนไทยมาทดลองใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชิปปุเบ็ตสึเป็นเวลา 5 วัน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก
การที่เราได้ทำงานที่ญี่ปุ่นทำให้เราได้ประสบการณ์และมิตภาพจากคนแปลกหน้ามากมายทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่น ช่วงแรกๆ ที่งานเราเริ่มเข้าที่เข้าทาง เราก็เริ่มได้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้กับชาวเมืองให้เป็นที่รู้จักอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมารยาท อาหาร นิทาน ความเชื่อหรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับต่างๆ รวมถึงเปิด workshop สอนทำอาหารและขนมไทยแบบง่ายๆ บอกเลยว่าชาวเมืองนี้เค้าสนใจมากเลยค่ะ
ในช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตที่เมืองชิปปุเบ็ตสึก็ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่มากขึ้น เมืองนี้เป็นเมืองที่เล็กมากๆ เล็กขนาดที่ว่าสามารถปั่นจักรยานเที่ยวรอบเมืองได้เลย และชาวเมืองส่วนมากมีอาชีพเป็นเกษตรกร ทำให้เราได้เห็นว่าเครื่องมือหรือนวัตกรรมการปลูกพืชผลของที่นี่เป็นยังไง เรารู้สึกแปลกใหม่กับการเกษตรที่แตกต่างจากบ้านเรามาก มันยิ่งเพิ่มเสน่ห์ของเมืองนี้มากขึ้นไปอีก และอยากให้คนไทยได้สัมผัสกับประสบการณ์เหล่านี้บ้าง จึงเกิดเป็นกิจกรรม ‘Happy 5 Days in Chippu’ ขึ้น โดยกิจกรรมนี้เราจะคัดเลือกคนไทยมาทดลองใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชิปปุเบ็ตสึเป็นเวลา 5 วัน แต่ละรอบที่จัดกิจกรรมก็จะแตกต่างกันไป ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากเลยค่ะ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเราอยากเปิดประสบการณ์ที่หาได้ยากให้คนไทยได้มาสัมผัสกันมากขึ้น และอยากให้ทุกคนรู้ว่าในญี่ปุ่นยังมีเมืองเล็กๆ น่ารักที่รอให้ทุกคนได้มาทำความรู้จักแบบนี้อยู่อีกแห่ง
ฝากติดตาม บันทึกชีวิตในฮอกไกโดของเราผ่านทาง Hokkaido Diary ด้วยนะคะ :)